ช่วงเวลา 800 ปีก่อนคริสตกาล
เป็นช่วงเวลาที่อารยธรรมกรีซเฟื่องฟูขึ้นมาอีกครั้ง
วัฒนธรรมและกิจการทหารของกรีซเจริญรุ่งเรืองมากที่สุด
เมืองเอเธนส์ลัสปาต้าเป็นศูนย์กลางของอำนาจ
มหาอาณาจักรกรีซประกอบด้วยอิตาลีทางตอนใต้อันเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของอาณาจักรอันยิ่งใหญ่
กรีซย่างก้าวเข้าสู่ยุคคลาสสิกหรือยุคทอง ในยุคนี้เองนักปราชญ์ชื่อ เพเรอคลิส
ผู้ทำให้วิหารพาร์เธนอนเป็นที่รู้จักของชาวโลก
โซโฟคลิสได้เขียนมหากาพย์อีดิปุสขึ้น และโสกราตีสหรือซาเครอทิส
ได้เริ่มการสอนลูกศิษย์ชาวเอเธนส์ให้รู้จักวิชาตรรกวิทยาและหลักการของประชาธิปไตย
ต่อมาไม่นานนักยุคทองของกรีซก็ถึงจุดเสื่อม
แล้วกรีซก็เข้าสู่ยุคสงครามเปลโอปอนนีเซียน
ซึ่งกองทหารอันเกรียงไกรของสปาร์ตาได้ยกกำลังเข้าบดขยี้ชาวเอเธนส์เสียจนย่อยยับ
ในขณะที่สปาร์ตากำลังรุกรานกรีซอย่างย่ามใจทางตอนเหนือ
พระเจ้าฟิลิปแห่งอาณาจักรมาซิโดเนียกำลังไล่ตีเมืองเล็กเมืองน้อยรุกคืบเข้ามาใกล้กรีซทุกที
แต่ทว่าความทะเยอทะยานที่จะเป็นผู้พิชิตในภูมิภาคนี้ของพระเจ้าฟิลิปก็ถูกบดบังรัศมีโดยโอรสของพระองค์เองคือ
พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ผู้สามารถยาตราทัพไปถึงเอเชียไมเนอร์และอียิปต์
ซึ่งที่อียิปต์นี้เองพระองค์ได้รับการยกย่องให้เป็นฟาโรห์
ผู้สร้างเมืองอเล็กซานเดรีย
พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชสามารถยกทัพไปถึงเปอร์เซียและดินแดนส่วนที่เป็นอินเดียและอัฟกานิสถานในปัจจุบัน
ในรัชสมัยของอาณาจักรมาซิโดเนียเรียกกันว่า ยุคเฮลเลนิสติก (Hellenistic
Period) เพราะยุคนี้มีการผสมผสานปรัชญาและวัฒนธรรมที่รุ่งเรืองของชนชั้นปกครองจนกลายเป็นวัฒนธรรมแบบใหม่ที่ศิวิไลซ์ยิ่งขึ้น
หลังจากพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชสิ้นพระชนม์ เมื่อพระชนมายุ 33 ปีแล้ว
มีกษัตริย์ปกครองกรีซสืบต่อมาอีก 3 รัชกาล
ครั้นถึงปีที่ 205 ก่อนคริสต์ศักราช
อิทธิพลของโรมันแผ่ขยายเข้ารุกรานกรีซ และเมื่อถึงปี 146 ก่อนคริสตกาล
กรีซกับมาซิโดเนียตกอยู่ใต้การปกครองของโรมัน
หลังจากที่มีการแบ่งอาณาจักรโรมันเป็นอาณาจักรตะวันออกและตะวันตก
กรีซได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรไบแซนไทน์ และเมื่อเกิดสงครามครูเสดขึ้น
อิทธิพลของอาณาจักรไบแซนไทน์ก็เสื่อมถอยเพราะถูกรุกรานโดยชาวเวนิส คาตาลัน เจนัว
แฟรงก์ และนอร์มัน
สมัยเฮลลาดิค
(Helladic period)
เป็นวลีโบราณโบราณคดีสมัยใหม่ที่หมายถึงสมัยต่างๆ
ของวัฒนธรรมของแผ่นดินใหญ่กรีซโบราณระหว่างยุคสำริด
วลีที่ใช้กันโดยทั่วไปในด้านโบราณคดี
และประวัติศาสตร์ศิลป์วิทยามีวัตถุประสงค์ในการใช้ประกอบกับคำสองคำ ไซคลาดิค
ที่หมายถึงช่วงเวลาใกล้เคียงกันที่พาดพิงถึงยุคสำริดของอีเจียน และ มิโนอัน
ที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมของครีต
สมัยเฮลลาดิคโดยทั่วไปหมายถึงเครื่องปั้นดินเผาและระบบการระบุเวลาสร้าง
เครื่องปั้นดินเผาไม่ว่าจะที่ใดตามปกติแล้วจัดแบ่งออกเป็นสมัยต้น กลาง
และปลายจากรูปทรงและเทคนิคที่ใช้ในการสร้างงาน ระบบดังกล่าวทำให้สามารถทำการลำดับเวลาสถานที่ได้อย่างมีระบบ
การระบุเวลาที่แท้จริงเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ควรจะใช้เมื่อทำได้
แต่การระบุเวลาเชิงสัมพัทธ์เป็นวิธีที่ใช้ก่อนที่จะมีการระบุเวลาโดยวิธีการคำนวณอายุโดยคาร์บอน
การขุดค้นทางโบราณคดีของสิ่งของที่เกี่ยวกับกรีซก่อนประวัติศาสตร์จึงมักจะใช้การระบุเวลาสัมพัทธ์โดยลักษณะของเครื่องปั้นดินเผา
คำว่า "เฮลลาดิค"
"ไซคลาดิค" และ "มิโนอัน" หมายถึงสถานที่ของที่มา ฉะนั้น
สิ่งของจากมิโนอันสมัยกลางจึงอาจจะพบได้ที่ไซคลาดีส
แต่ไม่ถือว่าเป็นไซคลาดีสสมัยกลาง การจัดระบบดังกล่าวมักจะไม่เหมาะกับบริเวณรอบทะเลอีเจียน
เช่นเครื่องปั้นดินเผาลว้านเป็นต้นที่เลียนแบบเครื่องปั้นดินเผาเฮลลาดิคหรือมิโนอัน
และผลิตในท้องถิ่น
สมัยเฮลลาดิค หมายถึง
กรีกช่วงยุคสัมฤทธิ์
เป็นอารยธรรมโบราณที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งของวิทยาการความรู้ต่างๆ
ซึ่งนักวิชาการบางฝ่ายก็เรียกว่า วัฒนธรรมเฮลลาดิค (Helladic
Culture) เพราะมองว่ายังมิใช่ช่วงที่เจริญมากพอ
ช่วงเวลานั้นเองยังมีกรุงทรอยที่ขณะนั้นยังไม่ล้มสลายอยู่ด้วยตามตำนานและเกิดสงครามกรุงทรอยโดยในตอนนั้นทรอยมี
นักรบที่แกร่งกล้านามว่า เฮกเตอร์ ส่วนนักรบของกรีกคือ อคิลลีส
โดยทั้งสองสู้รบเป็นเวลายาวนาน
อคิลลีสได้ท้าดวลกับเฮกเตอร์หน้ากรุงทรอย
เฮกเตอร์จะสั่งให้ทหารมารุมสังหารก็ได้ แต่เฮกเตอร์ก็มีเกียรติแห่งนักรบ
จึงลงมารบร่วมกับเฮกเตอร์ตัวต่อตัว สุดท้ายเฮกเตอร์
เสียหลักสะดุดก้อนหินอคิลลิสได้จังหวะจึงเข้าสังหารเฮกเตอร์จนเสียชีวิต
ในช่วงเวลาที่ยาวนานของการสู้รบกรีกมิอาจที่จะฝ่ากำแพงของทรอยได้เลย
กรีกจึงแสร้งทำว่ายอมแพ้และสร้างม้าไม้ขนาดมหึมามาตั้งไว้หน้าเมือง
ชาวทรอยเห็นดังนั้นนึกว่ากรีกยอมแพ้ จึงลากม้าไม้นั้นเข้าเมือง
แต่หารู้ไม่ว่าภายในม้าไม้นั้นเต็มไปด้วยทหารจำนวนมาก ครั้นตกดึกทหารที่อยู่ภายในก็ออกมาเปิดประตูให้ทหารกรีกเข้าไปภายในเมืองทรอยได้สำเร็จ
เมืองทรอยจึงแตกในที่สุด
ท้ายที่สุดชาวทรอยได้ไปสร้างจักรวรรดิแห่งใหม่นั่นคือจักรวรรดิโรมัน
และจักรวรรดิโรมันก็จึงย้อนกลับมาตีทรอยแตก
สมัยไซคลาดิค
ความสำคัญของอารยธรรมไซคลาดิคของปลายยุคหินใหม่ต้นยุคสำริดอยู่ที่รูปสลักสตรีแบบแบนราบที่แกะจากหินอ่อนสีขาวบนเกาะหลายร้อยปีก่อนยุคสำริดตอนกลางจะรุ่งเรือง (อารยธรรมมิโนอัน) ทางตอนใต้ในครีตรูปสลักหินอ่อนเหล่านี้ถูกโจรกรรมจากสุสานเพื่อสนองความต้องการสิ่งของโบราณอารยธรรมไซคลาดิคของตลาดมาตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ประมาณกันว่าเพียง 40% ของรูปสลัก 1,400 ชิ้นเท่านั้นที่พบที่ทราบที่มาดั้งเดิม เพราะผู้ลักสิ่งมีค่าเหล่านี้ได้ทำการทำลายหลักฐานไปเสียสิ้น
สมัยไมนวน
ชนไมนวนจะเรียกตนเองว่าอย่างไรนั้นไม่เป็นที่ทราบแต่คำว่า
“ไมนวน”
ที่ใช้เรียกชื่อวัฒนธรรมในยุคที่กล่าวเป็นคำที่คิดขึ้นโดยเอแวนสที่แผลงมาจาก
“ไมนอส” ซึ่งเป็นพระนามของพระมหากษัตริย์ในตำนานเทพเจ้ากรีก
ไมนอสเกี่ยวข้องกับตำนานเขาวงกต (labyrinth) บางครั้งก็มีการโต้แย้งกันว่าคำว่าชื่อสถานที่
“Keftiu” ของอียิปต์โบราณ หรือ “Kaftor” ของภาษาเซมิติค หรือ “Kaptara”
ของมารี ต่างก็หมายถึงเกาะครีต ใน
“โอดิสซีย์” ที่ประพันธ์หลายร้อยปีหลังจากที่อารยธรรมไมนวนถูกทำลายไปแล้ว
โฮเมอร์เรียกชนที่อาศัยอยู่บนเกาะว่า “อีทีโอเครทัน” (Eteocretan)
หรือ “ครีตแท้”
ที่อาจจะเป็นผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากชนไมนวนก็เป็นได้
พระราชวังของไมนวนที่ได้รับการขุดพบเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีความสำคัญเพราะลักษณะการก่อสร้าง
เป็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ใช้สำหรับการบริหารที่เห็นได้จากบันทึกเอกสารจำนวนมากที่พบโดยนักโบราณคดี
พระราชวังแต่ละแห่งที่พบต่างก็มีลักษณะต่างกันออกไปที่มีลักษณะเป็นเอกลักษณ์และมักจะเป็นสิ่งก่อสร้างหลายชั้นโดยมีบันไดทั้งภายในและภายนอกอาคาร
คอลัมน์ขนาดยักษ์ และลานภายในอาคาร
แทนที่จะพยายามจัดสมัยของไมนวนตามเวลาของปฏิทิน
นักโบราณคดีใช้วิธีสองวิธีในการลำดับเวลาสัมพันธ์ (relative chronology)
วิธีแรกคิดขึ้นโดยอีแวนส์และต่อมาประยุกต์โดยนักโบราณคดีคนอื่นๆ
ที่เป็นการลำดับเวลาโดยการศึกษาลักษณะของเครื่องปั้นดินเผา
ซึ่งทำให้แบ่งอารยธรรมไมนวนออกได้เป็นสามสมัย
ไมนวนตอนต้น (Early Minoan) : EM
ไมนวนตอนกลาง (Middle Minoan) : MM
ไมนวนตอนปลาย (Late Minoan) : LM
แต่ละช่วงเวลาก็แบ่งย่อยออกไปอีก เช่น
ไมนวนตอนต้น 1, 2
และ 3 (EMI, EMII, EMIII) วิธีลำดับเวลาอีกวิธีหนึ่งเสนอโดยนักโบราณคดีชาวกรีกนิโคลัส
พลาทอน (Nicolas Platon) ลำดับเวลาโดยการศึกษาการวิวัฒนาการของกลุ่มสถาปัตยกรรมที่เรียกว่า
"ปราสาท" ที่คนอสซอส (Knossos), ไฟสทอส (Phaistos),
มาลิอา (Malia),
คาโทซาครอส (Kato
Zakros) ที่แบ่งสมัยอารยธรรมออกเป็น
สมัยก่อนปราสาท (Prepalatial), สมัยปราสาทเก่า (Protopalatial),
สมัยปราสาทใหม่ (Neopalatial)
และสมัยหลังปราสาท (Post-palatial)
ความสัมพันธ์ระหว่างระบบลำดับเวลาทั้งสองวิธีแสดงในตารางประกอบ
โดยผูกกับเวลาของปฏิทินโดยประมาณโดยวอร์เร็นและแฮงคีย์ (1989)
การระเบิดของภูเขาไฟธีรา (Minoan
eruption) อันเป็นการระเบิดระดับ
6 หรือ 7 ของดัชนีการระเบิดของภูเขาไฟ (Volcanic Explosivity Index)
เกิดขึ้นในสมัยไมนวนตอนปลาย แต่เวลาของการระเบิดตามปฏิทินเป็นข้อที่ยังไม่เป็นที่ตกลงกันได้
จากการหาอายุจากคาร์บอนกัมมันตรังสี (Radiocarbon dating) ระบุว่าเกิดเป็นการระเบิดที่ขึ้นราวปลายทศวรรษ
1600 ก่อนคริสต์ศักราช
แต่เวลาที่ระบุโดยการหาอายุจากคาร์บอนกัมมันตรังสีค้านกับการคำนวณโดยนักโบราณคดีผู้เปรียบเวลาการระเบิดกับปฏิทินอียิปต์
ที่ระบุว่าเกิดขึ้นระหว่างปี 1525 ถึงปี 1500 ก่อนคริสต์ศักราช
การระเบิดของภูเขาไฟมักจะเห็นกันว่าเป็นเหตุการณ์ที่มีผลกระทบกระเทือนอันรุนแรงต่อวัฒนธรรมของไมนวนที่นำไปสู่การล่มสลายอย่างรวดเร็ว
ที่อาจจะเป็นเหตุการณ์เดียวกับที่บรรยายในตำนานแอตแลนติส
ของกรีก
ของกรีก
ยุคอาร์เคอิก
(Archaic Greece)
ยุคอาร์เคอิกของกรีซคือสมัยอารยธรรมของประวัติศาสตร์กรีซโบราณที่รุ่งเรืองราวระหว่าง
800 ถึง 480 ปีก่อนคริสต์ศักราช คำว่า "กรีซยุคอาร์เคอิก"
เป็นคำที่เริ่มใช้กันในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ที่กลายมาเป็นคำมาตรฐานที่ใช้กันตั้งแต่นั้นมา
คำดังกล่าวเป็นคำที่มาจากการศึกษาศิลปะกรีกที่หมายถึงลักษณะส่วนใหญ่ของศิลปะการตกแต่งพื้นผิวและประติมากรรม
ที่ตกอยู่ระหว่างศิลปะเรขาคณิตกับกรีซคลาสสิก
การที่เป็นส่วนหนึ่งของรากฐานของศิลปะคลาสสิกทำให้เป็นที่มาของคำว่า "archaic"
ซึ่งแปลว่า "โบราณ"
การที่กรีซยุคอาร์เคอิกต่อเนื่องมาจากกรีซยุคมืดทำให้เป็นสมัยของความก้าวหน้าของทฤษฎีการเมือง
และการแพร่ขยาย "โพลิส" และการเริ่มต้นของปรัชญา การละคร
กวีนิพนธ์คลาสสิก และการฟื้นฟูภาษาเขียนที่หายไประหว่างยุคมืด
ยุคเฮลเลนิสติก
(Hallenistic civilization)
เป็นจุดสูงสุดของความมีอิทธิพลของอารยธรรมกรีกในโลกยุคโบราณตั้งแต่ราวปี
323 จนถึงราวปี 146 ก่อนคริสต์ศตวรรษ (หรืออาจจะดำเนินต่อมาถึงปี 30
ก่อนคริสต์ศตวรรษก็เป็นได้) เป็นสมัยที่ตามมาจากสมัยกรีกคลาสสิก(Classical
Greece) และตามมาทันทีด้วยการปกครองของโรมในบริเวณที่เคยปกครองโดยหรือมีอิทธิพลจากกรีซ
– แม้ว่าวัฒนธรรม ศิลปะ และวรรณคดีของกรีซจะยังคงมีอิทธิพลต่อสังคมของโรมัน
ที่ชนชั้นสูงจะพูดและอ่านภาษากรีกได้ดีพอ ๆ กับภาษาละติน
หลังจากชัยชนะต่อจักรวรรดิเปอร์เชียโดยอเล็กซานเดอร์มหาราชแห่ง
“ราชอาณาจักรมาซิโดเนีย” กรีกแล้ว ราชอาณาจักรมาซิโดเนียต่าง ๆ
ก็ได้รับการก่อตั้งขึ้นทั่วบริเวณเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ (ตะวันออกใกล้ และ
ตะวันออกกลาง) และทางตะวันออกเฉียงเหนือของแอฟริกา (ส่วนใหญ่ในอียิปต์โบราณ)
ซึ่งเป็นผลให้วัฒนธรรมและภาษากรีกเผยแพร่ไปยังดินแดนต่าง ๆ ที่ก่อตั้งขึ้น และในทางกลับกันอาณาจักรใหม่ที่ก่อตั้งขึ้นต่างก็รับวัฒนธรรมท้องถิ่นเข้ามาใช้ตามแต่จะสะดวกและมีประโยชน์
ฉะนั้นอารยธรรมเฮลเลนิสติกจึงเป็นอารยธรรมที่ผสานระหว่างอารยธรรมกรีกกับอารธรรมของตะวันออกใกล้
ตะวันออกกลาง และเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ และแยกตัวจากทัศนคติเดิมของกรีกต่ออารธรรมอื่นที่เคยถือว่าอารยธรรมที่ไม่ใช่วัฒนธรรมกรีกเป็นอารธรรมของ
"อนารยชน"
แต่การผสานระหว่างอารยธรรมกรีกและอารยธรรมที่ไม่ใช่กรีกจะมากน้อยเท่าใดนั้นก็ยังเป็นเรื่องที่โต้แย้งกันอยู่
แต่แนวโน้มของความเห็นที่ตรงกันชี้ให้เห็นว่าเป็นการปรับรับวัฒนธรรมใหม่เป็นพฤติกรรมที่อยู่ในหมู่ชนชั้นสูงเท่านั้นส่วนประชากรโดยทั่วไปก็คงอาจจะดำรงชีวิตเช่นที่เคยทำกันมา