ด้านศิลปกรรมและสถาปัตยกรรม


ความรุ่งเรืองของอารยธรรมกรีก
        อารยธรรมกรีกเป็นอารยธรรมเก่าแก่ เรื่องราวเกี่ยวกับกรีกในระยะแรกๆ ค่อนข้าง
เลือนราง มีลักษณะเป็นนิยายปรับปรา จากการสำรวจค้นคว้าของนักโบราณคดี
ทราบว่าอารยธรรมกรีกปรากฏครั้งแรกที่เกาะครีต ในทะเลอีเจียน ระหว่าง 1,120-800 ปี
ก่อนคริศต์ศักราช ถือเป็นยุคมืดของอารยธรรมกรีก การค้าขายที่เคยรุ่งเรืองในอดีตได้มี
ชาวต่างชาติเข้ามาค้าขายแทน ชาวกรีกกลายเป็นผู้ไม่รู้หนังสือ ต้องไปยืมตัวอักษรอัฟเบตจากพวกฟินิเซียนมาดัดแปลง การปกครองของกรีกหลัง 800 ปีก่อนคริสต์ศักราช
หรือที่เรียกว่ายุคคลาสสิก มีลักษณะเป็นนครรัฐ ซึ่งชาวกรีกนิยมเรีกยว่า “โพลิส” ทุกนครรัฐ
มีอำนาจเป็นอิสระและมีระบอบการปกครองที่แตกต่างกัน แต่ในเวลาต่อมานครรัฐต่างๆ
หันมาปกครองแบบประชาธิปไตย       


        ชาวกรีกได้สร้างสรรค์ความเจริญให้เป็นมรดกแก่ชาวโลกจำนวนมาก ที่สำคัญได้แก่ ความเจริญด้านศิลปกรรม ปรัชญา การศึกษา วรรณกรรมและวิทยาการต่างๆ
ด้านศิลปกรรม
        ความเจริญด้านศิลปกรรมเป็นจุดเด่นอย่างหนึ่งของอารยธรรมกรีกซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นต้นแบบของงานศิลปกรรมของโลก ส่วนใหญ่เป็นงานสร้างสรรค์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากความศรัทธาทางศาสนา โดยสร้างขึ้นเพื่อแสดงความเคารพบูชาและบวงสรวงเทพเจ้าของตน ผลงานที่ได้รับการยกย่องมีจำนวนมากที่สำคัญได้แก่ ด้านสถาปัตยกรรม ประติมากรรม จิตรกรรม และศิลปะการแสดง
ด้านสถาปัตยกรรม
        ชาวเอเธนส์ได้สร้างสรรค์งานด้านสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นให้แก่ชาวโลกจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นการก่อสร้างอาคารเพื่อกิจกรรมสาธารณะ เช่น วิหาร สนามกีฬา และโรงละคร ความโดดเด่นของงานสถาปัตยกรรมไม่ได้ขึ้นอยู่กับความใหญ่โตของสิ่งก่อสร้าง แต่เป็นความงดงามของสัดส่วนที่สมบูรณ์แบบ ตัวอย่างเช่น วิหารพาร์เทนอน (Parthenon) ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาอะโครโพลิส (Acropolis) เป็นสิ่งก่อสร้างที่มีสัดส่วนงดงามทั้งความยาว ความกวว้างและความสูง จัดว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของโลก
        เนื่องจกระบอบการปกครองของกรีกในยุคคลาสสิก เป็นแบบนครรัฐที่ไม่มีกษัตริย์เป็นประมุข งานก่อสร้าวของกรีกจึงไม่ใช่พระราชวังที่หรูหราเหมือนในสมัยไมนวน แต่จะเป็นวิหารสำหรับเทพเจ้า เทพเจ้าของกรีกกับธรรมชาติมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ชาวกรีกซึ่งเป็นพวกที่นับถือธรรมชาติ เชื่อว่าพลังลึกลับที่มีอยู่ตามธรรมชาติสามารถให้คุณและโทษได้ อำนาจลึกลับในธรรมชาติดังกล่าวนี้เกิดขึ้นเพราะมีเทพเจ้าต่างๆ เป็นผู้บันดาล วิหารที่กรีกสร้างไว้บูชาต่างๆ นั้น นิยมสร้างบนเนินดินหรือภูเขาเล็กๆ ซึ่งเรียกว่า “อะครอโพลิว” วิหารที่สำคัญ ได้แก่ วิหารพาร์เธนอน ตัวอาคารสร้างด้วยหอนอ่อน หลังคาหน่าจั่วมีเสาหินเรียงราย ได้รับการถ่ายทอดต่อไปยังจักรวรรดิโรมัน ยุโรป และบางแห่งในทวีปเอเชีย



        ใช้ระบบโครงสร้างแบบเสาและคาน เช่นเดียวกับอียิปต์ มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า จากฐานอาคารซึ่งยกเป็นชั้น ๆ ก็จะเป็นฝาผนัง โดยปราศจากหน้าต่าง ซึ่งจะกั้นเป็นห้อง
ต่างๆ 1 - 3 ห้อง ปกติสถาปนิกจะ สร้างเสารายล้อมรอบอาคารหรือสนามด้วย มีการสลับช่วงเสากัน อย่างมีจังหวะ ระหว่างเสากับช่องว่างระหว่างเสา ทำให้พื้นภายนอกรอบ ๆ วิหารมีความสว่าง และมีรูปทรงเปิดมากกว่าสถาปัตยกรรมอียิปต์ และมีขนาดเหมาะสม ไม่ใหญ่โต จนเกินไป มีรูปทรงเรียบง่าย สถาปัตยกรรมกรีกแบบพื้นฐาน 2 ใน 3 แบบ เกิดใน สมัยอาร์คาอิก คือ แบบดอริก และแบบไอโอนิก ซึ่งแบบหลังพบแพร่หลายทั่วไป ในแถบเอเชียไมเนอร์ เสาหล่านี้แต่ละต้นจะมีคานพาดหัวเสาถึงกันหมด ในสมัย ต่อมา เกิดสถาปัตยกรรมอีแบบหนึ่งคือ แบบโครินเธียน หัวเสาจะมีลายรูปใบไม้ ชาวกรีกนิยมสร้างอาคารโดยใช้สถาปัตยกรรมทั้งสามชนิดนี้ผสมผสานกัน โดยมี การตกแต่งประดับประดาด้วยการแกะสลักลวดลายประกอบ บางทีก็แกะสลักรูป คนประกอบไปด้วย นอกจากนี้ยังมีการใช้สีระบายตกแต่งโดยสีน้ำเงินได้รับความ นิยมใช้ระบายฉากหลังรูปลวดลายที่หน้าจั่ว และสีแดงใช้ระบายฉากหลังสำหรับ ประติมากรรมที่หัวเสาและลายคิ้วคาน

        สถาปัตยกรรมกรีกโบราณ เป็นลักษณะสถาปัตยกรรมที่สูญหายไปจากกรีซมาตั้งแต่ปลายสมัยเฮลลาดิค (Helladic period) หรือสมัยไมซีเนียน (ราว 1200 ก่อนคริสต์ศักราช) มาจนกระทั่งราว 700 ก่อนคริสต์ศักราช เมื่อชาวโรมันมีความมั่งคั่งและฟื้นตัวขึ้นจนถึงจุดที่เริ่มมีการก่อสร้างสิ่งก่อสร้างสำหรับสาธารณชนขึ้นได้อีก แต่ในเมื่อสิ่งก่อสร้างของกรีกหลายแห่งในสมัยอาณานิคม (800-600 ก่อนคริสต์ศักราช) สร้างด้วยไม้หรือ อิฐดินเหนียว หรือ ดินเหนียว จึงทำให้ไม่มีที่ใดที่ยังเหลือหรอให้ได้เห็น นอกจากแผนผังบนพื้นอยู่สองสามแห่ง และไม่มีหลักฐานทางลายลักษณ์อักษรที่เกี่ยวกับสถาปัตยกรรมสมัยแรกหรือคำบรรยายเกี่ยวกับสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ที่ยังคงอยู่
        วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างโดยทั่วไปจะเป็นไม้ ที่ใช้ในการรองรับคานที่รับหลังคา, พลาสเตอร์สำหรับอ่างและอ่างอาบน้ำ, อิฐดิบสำหรับก่อผนังโดยเฉพาะสำหรับบ้านเรือนที่อยู่อาศัยส่วนบุคคล, หินปูน และ หินอ่อน ในการก่อสร้างเสา, กำแพง หรือตอนบนของเทวสถาน หรือ ตึกที่ทำการสาธารณะ, “เครื่องดินเผาสีหม้อใหม่” ที่ใช้เป็นกระเบื้องปูหลังคาและเครื่องตกแต่ง และโลหะโดยเฉพาะสัมริดที่ใช้ในการตกแต่งรายละเอียด สถาปนิกใช้วัสดุดังกล่าวในการก่อสร้างสิ่งก่อสร้างอย่างง่ายๆ ห้าประเภท: ศาสนสถาน, ที่ทำการราชการ, ที่อยู่อาศัย, ที่เก็บศพ และ สถานที่เพื่อการบันเทิง